เรื่องเล่าสยองขวัญ ผียืมร่าง

เรื่องเล่าสยองขวัญ ผียืมร่าง

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์หลอนที่เกิดกับตัวของเราจริงๆ เราชื่อว่าสร้อย     สร้อยเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสาน สร้อยเรียนแบบภาคพิเศษ เรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์  เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำงานแล้ว ซึ่งมีหลายอาชีพด้วยกัน มีทั้งทหาร ตำรวจ ผู้คุมเรือนจำ พนักงานราชการและพนักงานเอกชน ส่วนตัวของสร้อยเองทำงานเป็นพนักงานราชการแห่งหนึ่ง

 

      จนกระทั่งปลายเดือนตุลาคม ปี 2560    ขณะนั้นพวกเราเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ก็ได้รับข่าวร้ายจากเมียของพี่มิตร ว่าพี่แกเสียแล้ว เพื่อนร่วมห้องและอาจารย์ทุกคนต่างรู้สึกตกใจมาก เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเราเพิ่งเจอกันและไม่คิดว่านั่นจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย  เพราะพี่มิตรแกรับราชการตำรวจ แกเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา ชอบสังสรรค์ ชอบหยอกล้อ พูดคุยกับทุกคน เพื่อนๆจึงชอบแก

 

       ส่วนสาเหตุการตาย เมียพี่มิตรเล่าว่า เมื่อคืนวันอังคาร เช้าวันพุธ ตอนประมาณตี 2 กว่าๆ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงพี่มิตร ‘’ร้อง โอ๊ะๆๆ’’ แล้วก็เอามือจับที่หัวใจ แล้วพี่มิตรแกก็นิ่งไป  เมียแกที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเรียกให้คนมาช่วย และพาพี่มิตรไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ทันเพราะพี่แกเสียตั้งแต่ที่บ้านแล้ว

งานศพพี่มิตรจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง เพื่อนๆในห้องเรียนต่างพากันไปงานศพของพี่มิตร  แต่ตัวของสร้อยเองยังไม่ได้ไป เนื่องจากช่วงนั้นงานของสร้อยยุ่งมาก  จึงตั้งใจว่าจะไปคืนสุดท้ายกับวันเผา  

 

       พอถึงวันเสาร์ สร้อยก็มาเรียนตามปกติ ซึ่งเป็นเสาร์แรกที่พี่มิตรไม่ได้มาเรียนด้วย เพื่อนๆพากันเล่าถึงความเฮี้ยนของพี่มิตร ที่หลายคนได้เจอ โดยหนึ่งในนั้นคือหนิง เพื่อนที่เรียนกลุ่มเดียวกับสร้อยเอง โดยหนิงเล่าว่า เมื่อคืนวันพฤหัสบดี หนิงไปฟังสวดของพี่มิตร  ตอนขากลับหนิงขี่รถจักรยานต์กลับบ้าน ผ่านหน้าบ้านของพี่ชาย 

เมื่อถึงบ้าน พี่ชายก็โทรตามมาต่อว่าทันที ว่าดึกแล้วทำไมพาผู้ชายเข้าบ้าน หนิงจึงรีบถามกลับผู้ชายที่ไหน กลับมาคนเดียว พี่ชายของหนิงจึงบอกว่าเห็นมีผู้ชายใส่กางเกงสีกากี เสื้อสีขาว (ที่ตำรวจเขาเรียกกันว่าครึ่งท่อน) นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ของหนิงกลับมาด้วย  หนิงบอกว่าพอได้ฟังพี่ชายพูดแบบนั้นทำเอาคืนนั้น หนิงนอนไปหลับสวดมนต์ไหว้พระทั้งคืน สร้อยได้ฟังเพื่อนๆเล่าก็รู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

 

       พอเช้าวันจันทร์ แม่ของสร้อยไม่สบาย สร้อยจึงลางานเพื่อพาแม่ไปหาหมอ  และช่วงบ่ายก็ได้ออกมาทานข้าวกับเพื่อนที่โลตัสใกล้บ้านของสร้อย ขณะที่สร้อยขี่รถมอเตอร์ไซค์จะไปหาเพื่อนก็ได้ผ่านหน้าบ้านพี่จิ๊บซึ่งเป็นเพื่อนแถวบ้าน พี่จิ๊บก็โบกมือให้ สร้อยก็ยิ้มตอบตามปกติ

 

       ในวันพฤหัสบดี สร้อยก็นัดกับเพื่อนๆเพื่อจะไปฟังสวดศพพี่มิตร โดยให้เพื่อนมารับจะได้ไปรถคันเดียว และในเย็นวันนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับสร้อย และเป็นครั้งแรกในชีวิตของสร้อยเลยที่ได้เจอเรื่องแบบนี้ ในระหว่างที่นั่งอยู่บนรถนั้น สร้อยรู้สึกปวดหัวมากๆ เหมือนจะเป็นไข้ และเริ่มมีอาการหนาวสั่นจนขากรรไกรกระทบกันและมีเสียงครางออกมา  จนพี่ณีที่นั่งรถมาด้วยกันต้องข้ามเบาะมาหาและกอดสร้อยเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย สร้อยยังครางแล้วก็ร้องไห้กอดแขนตัวเองแน่นไม่ยอมปล่อย พี่ณีก็ถามว่าสร้อยเป็นอะไร สร้อยบอกไม่รู้ อยู่ๆก็เป็นแบบนี้  หยุดร้องไห้ไม่ได้เลยมันเจ็บหน้าอก ปวดแขน สร้อยบอก แล้วสร้อยก็ขอกินน้ำ สร้อยบอกหิวน้ำมากๆ พี่ณีก็เอาขวดน้ำให้สร้อย สร้อยรีบรับมาแล้วยกกินเหมือนคนไม่เคยกินน้ำมานานหลายวัน จนพี่ณีต้องรีบจับขวดน้ำไว้เพราะกลัวสร้อยสำลักน้ำ แต่สร้อยก็ไม่ยอมปล่อยขวดน้ำยกกินจนหมด แล้วขอน้ำอีกขวดพี่ณีก็เอาให้ใหม่ สร้อยก็ยกกินเหมือนเดิม สร้อยบอกคอแห้งมากมาก

 

จนไปถึงที่วัดสร้อยก็ยังมีอาการเหมือนเดิม สร้อยลงจากรถไม่ได้ เพื่อนๆที่มาด้วยกันต้องไปตามพี่ไก่ที่สนิทกันกับพี่มิตรและเมียพี่มิตรมาหาที่รถ พอสร้อยเห็นพี่ไก่ สร้อยก็รีบไปจับมือพี่ไก่ทันที  มือสร้อยเริ่มสั่นมากเหมือนคนติดเหล้า  พี่ไก่ก็มองแบบตกใจมากๆ ที่อาการของสร้อยคล้ายพี่มิตรมากๆ พี่มิตรแกชอบกินเหล้าจนเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่ม  แล้วพี่ไก่เหมือนจะรู้อะไรสักอย่าง แล้วจึงพูดว่า มิตรนั้นมึงใช่ไหม  แล้วสร้อยที่ตอนนี้กำลังร้องไห้อยู่ พูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น ว่า ‘’เออ กู เอง’’   ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจ และมองมาที่สร้อยกันเป็นตาเดียว ซึ่งในตอนนั้นสร้อยรับรู้ทุกเรื่อง แต่บังคับตัวเองไม่ได้ และสิ่งที่พูดออกไปก็ไม่ใช้สร้อยที่เป็นคนพูด

พี่ไก่จึงพูดต่อว่า มึงไม่ต้องห่วงลูกนะ แล้วพี่มิตรในร่างสร้อยก็พยักหน้า ก็พอดีกับเมียของพี่มิตรเดินมาถึง พอสร้อยหันไปเห็นเมียพี่มิตรเท่านั้นแหละสร้อยก็ผวาเข้าไปกอดแล้วก็ร้องไห้ใหญ่เลย ทำยังไงก็ไม่หยุดร้องจนเมียของพี่มิตรบอกผ่านร่างของสร้อยว่าไม่ต้องเป็นห่วงลูกกับตัวแกนะจะดูแลลูกให้ดี และไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ในขณะที่กำลังคุยกับเมียพี่มิตรอยู่ ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาที่รถที่สร้อยนั่งอยู่ พอสร้อยเห็นสร้อยก็ยกมือไหว้ทันที ทำให้ทุกคนประหลาดใจเป็นอย่างมาก

แล้วพี่มิตรที่อยู่ในร่างของสร้อยก็กอดผู้หญิงคนนั้นไว้(สร้อยยังร้องไห้อยู่) แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นว่า มิตรจำได้ไหมว่านี่คือใคร (เป็นอาจารย์ร่างทรงที่พี่มิตรนับถือ) แล้วสร้อยก็พยักหน้า แล้วอาจารย์ของพี่มิตรก็ทำน้ำมนต์และบอกว่า ‘’กินซะนะมิตร’’ อย่าอยู่ในนั้นนานสงสารน้องเค้านะลูกนะ   สร้อยในตอนนั้นที่ถูกพี่มิตรใช้ร่างอยู่ก็รับน้ำจากอาจารย์มากิน น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด  พอกินได้สักพักร่างกายที่รุ่มร้อน หนาวสั่น เหมือนจะเป็นไข้ ก็ค่อยๆดีขึ้นและสร้อยเองก็เริ่มกลับมาเป็นตัวเอง พูดคุยได้ปกติ

 

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเข้าไปฟังสวดศพต่อ แต่ในระหว่างที่นั่งอยู่โต๊ะที่เลี้ยงแขก คนในงานมากันหมดมีทั้งอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยที่มาร่วมงาน และก็มีน้องคนหนึ่งที่เรียนด้วยกันเดินมายกมือไหว้สร้อย พอสร้อยหันไปรับไหว้น้อง สร้อยทำตาขวางใส่น้องคนนั้น น้องคนนั้นตกใจและรีบถอยหลังไป แล้วช่วงนั้นเองที่สร้อยรู้สึกเหมือนมีอะไรร้อนๆวิ่งขึ้นลงอยู่ในร่างกายและหลุดวูบออกทางฝาเท้าของสร้อย ตัวสร้อยเหมือนเป็นไข้เพราะตัวร้อนมากร้อนอย่างกับไฟ พอฟังสวดเสร็จก็กลับบ้าน และเข้านอนทันที  

 

พอเช้าวันเสาร์สร้อยก็ไปเรียนตามปกติแต่วันนั้นไม่มีเรียน เพราะมีการจัดกิจกรรมและในช่วงบ่ายก็จะมีการเผาศพพี่มิตร อาจารย์และเพื่อนๆต่างตั้งใจจะไปส่งพี่มิตรเป็นครั้งสุดท้าย แต่ในระหว่างที่สร้อยนั่งรอเพื่อนอยู่นั้น สร้อยก็รู้สึกปวดหัวเหมือนจะเป็นไข้ สร้อยกลัวว่าจะเป็นเหมือนเดิมเลยรีบกลับบ้าน ไม่ได้ไปร่วมงานเผาศพพี่มิตร

 

พอกลับถึงบ้านอาการสร้อยก็ดีขึ้น แต่พอตกดึกช่วงตีสองกว่า เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พี่มิตรเสีย  สร้อยก็มีอาการปวดหัวอย่างหนักจนแม่ต้องหายาให้สร้อยกินและพ่อก็เอาพระมาวางไว้ที่หัวนอนของสร้อย สร้อยถึงนอนหลับได้ พอตอนเช้าแม่ไปใส่บาตรและได้เล่าให้หลวงตาฟัง หลวงตาบอกให้แม่พาสร้อยไปหาท่านที่วัด พ่อกับแม่ก็พาสร้อยไปหาหลวงตา หลวงตาท่านก็ทำพิธีและทำน้ำมนต์ให้สร้อยกิน แล้วหลวงตาท่านก็ได้ให้ด้ายสายสิญจน์มา แต่สร้อยไม่ได้ใส่พอเสร็จก็กลับบ้านและสร้อยก็ไปเรียนตามปกติ

พอพักเที่ยงสร้อยก็ออกไปกินข้าวกับเพื่อนๆในห้องรวมทั้งพี่ไก่ด้วย พวกเรานั่งรถพี่ไก่ไปแล้วอยู่ๆ สร้อยก็มีอาการหนาว และพี่ไก่บอกให้ใส่เสื้อคลุมที่แขวนอยู่ในรถ สร้อยก็ใส่แล้วพี่ไก่ก็บอกว่าเสื้อคลุมเป็นของพี่มิตร สร้อยก็เริ่มปวดหัวมากพอไปถึงร้านอาหารพี่ไก่ก็เอาเหล้ามากินและเทลงพื้นเรียกพี่มิตรมากินด้วย สร้อยอาการหนักมากคือปวดหัวรุนแรงและเหมือนเป็นไข้ตัวร้อนมากๆ สร้อยให้เพื่อนโทรตามพ่อให้มารับกลับบ้าน ในระหว่างที่รอพ่อมารับสร้อยก็อ้วกออกมามีแต่น้ำ อ้วกจนหมดไส้หมดพุง

พอพ่อมาถึงพ่อคิดว่าสร้อยไม่สบายเลยพาสร้อยไปส่งโรงพยาบาลแต่พอให้หมอตรวจอาการ หมอก็วินิจฉัยว่าไม่พบสาเหตุของอาการป่วย เลยให้สร้อยกลับบ้านได้ พ่อของสร้อยก็รู้ได้เลยว่าสร้อยไม่ปกติแต่พ่อก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อกลับถึงบ้านพ่อก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าหลวงตาได้ให้ด้ายสายสิญจน์ไว้แต่สร้อยลืมใส่เพราะรีบไปเรียน พ่อก็เลยนำด้ายสายสิญจน์มาใส่ให้สร้อยทันที ในระหว่างนั้นพี่จิ๊บ(คนข้างบ้าน)ได้เดินมาหาเพราะทราบว่าสร้อยไม่สบาย และได้เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่สร้อยขับรถมอไซต์ผ่านหน้าบ้าน  พี่จิ๊บได้เห็นมีผู้ชายใส่เสื้อยืดสีขาวคอกลมใส่กางเกงสีกากีนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของสร้อยออกไป พี่จิ๊บจึงโบกมือทัก เพราะปกติแล้วสร้อยไม่เคยพาเพื่อนผู้ชายมาบ้านเลย พอทุกคนในบ้านได้ยินอย่างนั้นก็มองหน้ากันไปมา แต่ไม่มีใครพูดอะไร หลายวันผ่านมาสร้อยก็หายกลับมาเป็นปกติ  

 

       แม่เล่าให้สร้อยฟังในตอนหลังว่า  หลวงตาได้บอกกับแม่ว่าให้ดูแลสร้อยให้ดี เพราะการที่สร้อยโดนพี่มิตรเข้ามาใช้ร่างของสร้อย จะทำให้ธาตุในร่างกายของสร้อยแปรปวนและอ่าจจะแตกได้ ทำให้สร้อยไม่สบาย และในช่วงแรกๆถ้าสร้อยไปสัมผัสกับสิ่งของผู้ตายหรือถ้าอยู่ในช่วงเวลาที่เค้าตาย สร้อยก็อาจจะเกิดอาการขึ้นมาได้อีก แต่เมื่อผ่านไปสักระยะ อาการจะค่อยๆดีขึ้น ให้สร้อยหมั่นกินน้ำมนต์ และไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้กับคนตายแล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ

เรื่องที่น่าสนใจ

ร่วมแชร์กับ Getstorypoint

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *